กสอ. เผยผลปี 58 สร้างมูลค่าเพิ่ม SMEs ทั่วไทย ร้อยละ 30 พร้อมชี้ iSMEs - Intelligent SMEs คือคุณลักษณะ SMEs ยุค ศต. 21

กรุงเทพฯ 26 ตุลาคม 2558 – กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เผยผลการดำเนินงานปี 2558 ส่งเสริมสนับสนุน SMEs ทั่วไทย สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ร้อยละ 30 พร้อมตั้งศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (Business Service Center :BSC) บริการให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการ SMEs ไทยอย่างเต็มรูปแบบ     รองรับการเติบโตเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ พร้อมชี้ SMEs ไทยยุคศตวรรษ 21 ต้องมีคุณลักษณะเป็น                “อินเทลลิเจนท์ เอสเอ็มอี”(iSMEs - Intelligent SMEs) ประกอบด้วย ไอซับพลาย เชน (iSupplychain)  ความชาญฉลาดในการพิจารณาและบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ไอโปรดักส์(iProduct) ฉลาดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ไอโพรเซส (iProcess) SMEs ไทย ต้องสามารถวางแผนและบริหารจัดการกระบวนการผลิตอย่างชาญฉลาดเพื่อศักยภาพการผลิตที่สมบูรณ์ที่สุด ไอเน็ตเวิร์ค (iNetwork) ฉลาดในการสร้างเครือข่ายธุรกิจ และ ไออองเทรอเพรอเนอ(iEntrepreneurs) ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพบริหารจัดการกิจการได้ทุกสถานการณ์ ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้มแข็ง SMEs ไทยสามารถประกอบธุรกิจและปรับตัว            ได้อย่างมีพลวัต ไม่หวั่นผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า การดำเนินงานส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ของ กสอ. ประจำปีงบประมาณปี 2558 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินงานผ่านโครงการต่าง ๆ กว่า            70 โครงการ อาทิ โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน (MDICP) โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต โครงการพัฒนาผู้ประกอบการสาขาเป้าหมายเพื่อให้พร้อมรับการเปิดเสรี AEC โครงการเพิ่มมูลค่ายางและผลิตภัณฑ์ยาง โครงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ฯลฯ โดยตลอดปี 2558 มีสถานประกอบการ SMEs เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ จำนวน 2,762 กิจการ และพัฒนาวิสาหกิจชุมชน 405 กลุ่ม ผู้ประกอบการและบุคลากรได้รับการพัฒนา 19,880 คน จำแนกเป็นผู้ประกอบการ 8,208 คน เป็นบุคลากร ในภาคอุตสาหกรรม 11,672 คน โดยผลผลิตดังกล่าว สามารถจำแนกเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ได้ 1,643 ผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้ร้อยละ 30 และลดต้นทุนได้ร้อยละ 6

ดร.สมชาย กล่าวถึงนโยบายปี 2559 ว่า ได้วางนโยบายเร่งด่วนเพื่อดำเนินการในปีหน้านี้ ซึ่งมีมาตรการดังนี้ 

• สร้างความพร้อมให้ SMEs ในทุกจุด โดยเน้นการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันจากการพัฒนากระบวนการผลิต ผลิตภัณฑ์ เน้นการสร้างความสอดคล้องกับตลาดและนวัตกรรม โดยสาขาที่เน้น ได้แก่ แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ อาหาร และเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม และระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ให้เข้มแข็ง เน้นด้านนวัตกรรมดิจิทัลมากขึ้น
• เร่งให้ SMEs สามารถเข้าถึงมาตรการต่างๆ ของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกับ SME Bank ในการส่ง SMEs ที่ผ่านการอบรมหรือโครงการต่างๆ ของ กสอ. เข้าถึงเร่งเงินทุนได้ง่ายมากขึ้น โดยขณะนี้กำลังหารือกับธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ เพื่อทำ MOU นอกจากนี้ได้หารือกับ สวทช. ในการทำ MOU ที่จะพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อรวมโครงการระหว่าง CF กับ iTAPอย่างไรก็ตาม กสอ. ยังได้มอบนโยบายให้ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ดำเนินการหารือกับธนาคารต่างๆ ในการทำความเข้าใจกับ SMEs เพื่อใช้มาตรการสินเชื่อของรัฐ 
• ขยายความร่วมมือกับต่างประเทศ โดย กสอ. ได้ร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ ของญี่ปุ่นในโครงการเพื่อช่วยเพื่อน OTAKAI ที่ผ่านมามี 12 จังหวัด ปีนี้จะร่วมกับอีก จังหวัด และต้นปีกำลังประสานงานกับอีกหนึ่งจังหวัด และขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการร่าง MOU กับฮ่องกง
• เร่งเปิด BSC ทั้ง 11 ศูนย์ภาคฯ และ แห่งในส่วนกลาง เพื่อเป็นศูนย์รับบริการ SME 

 

สำหรับการจัดทำ โครงการการจัดตั้งศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรม(Business Service Center : BSC)” เป็นการวางแนวทางอำนวยความสะดวกในการประกอบการแก่ผู้ประกอบการทั่วประเทศ มุ่งให้บริการข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ การขยายธุรกิจ การปรับปรุงการบริหารจัดการ การให้คำปรึกษาแนะนำ และจัดที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ ในด้านต่าง ๆ ลงไปช่วยในการพัฒนา อาทิ ด้านการตลาด การผลิตและเทคโนโลยี บัญชีและการเงิน การบริหารจัดการทรัพยากร การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการพัฒนาเพื่อขอรับมาตรฐาน ISO9000/ฮาลาล/GMP/HACCP โดยเปิดให้บริการใน 3 ช่องทาง คือ เข้ามารับบริการปรึกษาแนะนำที่ศูนย์บริการฯ โดยตรง หรือ ติดต่อผ่าน Call Center หมายเลข 1358 โทรศัพท์ 0 0202 4426หรือ ขอรับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ (Online)www.dip.go.th ทั้งนี้ ศูนย์บริการฯ จะเปิดให้บริการในพื้นที่ส่วนกลาง และประจำที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมทั้ง 11 แห่ง ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยขณะนี้นำร่องให้บริการอย่างสมบูรณ์แล้ว 4 แห่ง ได้แก่อาคารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พระรามที่ 6 อาคารกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล้วยน้ำไท ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 จ.เชียงใหม่ และศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 จ.สงขลา

ดร.สมชาย  กล่าวต่อว่า จากการที่รัฐบาลได้ประกาศให้นโยบายส่งเสริม SMEs เป็นวาระแห่งชาติ                 โดยมีแนวทางปรับเปลี่ยนจากเศรษฐกิจที่เน้นปัจจัยการผลิตเดิมซึ่งใช้ประโยชน์จากที่ดิน แรงงาน และ ทุนสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ด้วยความรู้และความคิดสร้างสรรค์ และเนื่องด้วยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ให้การส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย มากว่า 73 ปี ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรม ในทุกช่วงเวลา จึงได้มีการกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของอุตสาหกรรมไทยตามเทรนด์หรือความต้องการของผู้บริโภคในช่วงนั้น ๆ เพื่อเป็นแนวทางผลักดันธุรกิจ SMEs ไทย ให้มีศักยภาพและมีความเข้มแข็งสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน  ทั้งนี้ สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 (ค.ศ. 2001- ค.ศ. 2100) นี้ ต้องมีคุณลักษณะ“อินเทลลิเจนท์ เอสเอ็มอี” (iSMEs - Intelligent SMEs)ในการประกอบธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างมีพลวัต จะช่วยให้ยืนหยัดอยู่ได้ในเวทีการค้าของอาเซียนได้ ซึ่งความเป็น “Intelligent” ดังกล่าว ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ไอซับพลาย เชน (iSupply chain) ความชาญฉลาดในการพิจารณาและบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ไอโปรดักส์ (iProduct) การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและระดับสากล ไอโพรเซส (iProcess)SMEs ไทยยุคใหม่ต้องสามารถวางแผนและบริหารจัดการกระบวนการผลิต ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อศักยภาพการผลิตที่สมบูรณ์ที่สุด สามารถลดต้นทุนในทุกๆ ด้าน ไอเน็ตเวิร์ค (iNetwork) ชาญฉลาดในการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ซึ่ง กสอ. มีโครงการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (Cluster) รองรับการรวมกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ และและ ไออองเทรอเพรอเนอ(iEntrepreneurs) ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพบริหารจัดการกิจการได้ทุกสถานการณ์ ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่

อย่างไรก็ตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณลักษณะ iSMEs จะเป็นแนวทางให้ SMEs ทั้งรายเก่าและรายใหม่สามารถปรับตัวได้เพื่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ SMEs ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ที่ผ่านมานั้นถือว่าดีขึ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยไทยสามารถส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย ได้แก่ จีนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.5 สหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 (ที่มา : ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) อย่างไรก็ดี แม้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 สถานการณ์ค่าเงินบาท            จะอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการประกอบการของ SMEs แต่เชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้นภายใน              สิ้นปีแน่นอน ดร.สมชาย กล่าวสรุป

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจโครงการต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่    กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2202 4414-17 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th หรือ www.facebook.com/dip.pr

###

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร 0 2202 4414 – 18 / เผยแพร่

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสื่อมวลชนติดต่อ

เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์ - JC&CO PUBLIC RELATIONS - 

ณภัทร กาญจนะจัย / 6681-355-9221 / napatk@jcpr.co.th

เนติมา นิจจันพันศรี 6686-756-3939 / netiman@jcpr.co.th

** MEDIA HOTLINE : 02-634-4557 / 081-486-3407** (ฝ่ายสื่อมวลชนสัมพันธ์)

 

 

 

 

หมายเหตุถึงกองบรรณาธิการ

 

“อินเทลลิเจนท์ เอสเอ็มอี” (iSMEs - Intelligent SMEs) ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่

• ไอซับพลาย เชน (iSupply chain) ความชาญฉลาดในการพิจารณาและบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทาน อาทิ กระบวนการวางแผนการผลิต การบริหารจัดการวัตถุดิบ กระบวนการสั่งซื้อ โลจิสติก                   ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่ง กสอ. มีโครงการสำคัญหลายโครงการที่ช่วยยกระดับความสามารถในการบริหารจัดการ เช่น โครงการพัฒนาความร่วมมือในระดับห่วงโซ่อุปทาน โครงการพัฒนาระบบ ERP by DIP    สำหรับ SMEs ไทย การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ อีกทั้งส่งเสริมให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เพื่อลดการนำเข้า ซึ่งการมีห่วงโซ่อุปทานที่ชาญฉลาดนี้ มีส่วนสำคัญในการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการ เช่น ส่งเสริมความเติบโตของผู้ประกอบการ การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่ให้เร็วขึ้น การเปิดตลาดใหม่ ๆ การบริหารเงินทุนหมุนเวียน เป็นต้น
• ไอโปรดักส์ (iProduct) การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและระดับสากล ผ่านการศึกษาพฤติกรรมความสนใจของผู้บริโภคซึ่งเป็นตัวกำหนด ความเคลื่อนไหวของเทรนด์การบริโภค อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการต้องสร้างความแตกต่างและโดดเด่น ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ คุณสมบัติ ให้แก่ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างแรงดึงดูดและความสนใจให้ผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product)หรือผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องสำอางออแกนิก (Organic) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคทั้งในไทยและระดับโลกในช่วงกระแสรักษ์โลกมาแรง เป็นต้น โดย กสอ. มีโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เป็นโครงการที่มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยตรงเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด
• ไอโพรเซส (iProcess) SMEs ไทยยุคใหม่ต้องสามารถวางแผนและบริหารจัดการกระบวนการผลิต            ได้อย่างชาญฉลาดเพื่อศักยภาพการผลิตที่สมบูรณ์ที่สุด สามารถลดต้นทุนในทุกๆ ด้าน อาทิ วัตถุดิบ เวลา ทรัพยากรเงิน และบุคคล รวมไปถึงฉลาดในการเลือกใช้เครื่องจักรให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด                       เพื่อคงอัตรากำลังการผลิตให้ได้ปริมาณที่ตรงกับคำสั่งซื้อหรือความต้องการของตลาด ขณะเดียวกัน             ต้องสามารถเพิ่มผลิตภาพหรือการลดความสูญเปล่าในกระบวนการทำงานด้วย โดยผู้ประกอบการสามารถเข้าร่วมโครงการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตด้วยกระบวนการจัดการ เพื่อสามารถวางแผนและบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ
• ไอเน็ตเวิร์ค (iNetwork) ชาญฉลาดในการสร้างเครือข่ายธุรกิจ อาทิ การรวมกลุ่มและสร้างความเชื่อมโยง  ในเครือข่ายอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งในเรื่องของการจัดหาวัตถุดิบ การแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ ในมุมของธุรกิจร่วมกัน นำไปสู่การประกอบการลักษณะ win-win ซึ่ง กสอ. มีโครงการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (Cluster) รองรับการรวมกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้
• ไออองเทรอเพรอเนอ(iEntrepreneurs) เน้นพัฒนาผู้ประกอบการ ให้มีศักยภาพบริหารจัดการกิจการได้ทุกสถานการณ์ ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ โดยดูแลตั้งแต่ความรู้พื้นฐานในการประกอบกิจการ สนับสนุนให้สามารถจัดตั้งธุรกิจได้ พัฒนาสู่ผู้ประกอบการขั้นสูงที่สามารถวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากลได้ คาดว่าในปี 2559 กสอจะสามารถสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศให้ผู้ประกอบการได้ 7 เครือข่าย ใน 400 กิจการ หรือ ผู้ประกอบการประมาณ 2,400 คน 

 



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ITE ร่วมกับ SCG ฉลองการทำงานครบ 600,000 ชั่วโมง โดยปราศจากอุบัติเหตุ มั่นใจด้วยการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

FER ดึงตัวผู้บริหารหญิงคนเก่ง จาก PSTC ลุยธุรกิจพลังงาน “ชุตินันท์ กิจสำเร็จ” นั่งบอร์ดและเป็นผู้บริหารรุกธุรกิจด้านพลังงานเต็มตัว

หุ้นไอพีโอ ASN สุดฮอต! จองหมดตั้งแต่วันแรก คาดนักลงทุนพลาดหวังรอเก็บเพิ่มในกระดาน